โปรโมชั่น ประจำปี 2568
องค์กรในอุตสาหกรรมต่างๆ ต้องเผชิญกับภัยคุกคามต่อการดำเนินงาน ข้อมูล และการเงินที่เพิ่มมากขึ้น ผู้เชี่ยวชาญที่รับผิดชอบด้านความต่อเนื่องทางธุรกิจ, ความปลอดภัย และความยืดหยุ่น จะต้องตระหนักถึงความเสี่ยงที่เปลี่ยนแปลงไปและความเสียหายในระดับต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยพื้นฐานแล้ว จำเป็นต้องพิจารณาความเสี่ยงและดำเนินการเชิงรุกจากหลายๆ มุม หากองค์กรต้องการฝ่ามรสุมที่โหมกระหน่ำ
เนื่องจากภัยคุกคามเหล่านี้มีความถี่และความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น จึงแสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการมีแผนตอบสนองต่อเหตุการณ์ (Incident Response, IR) ที่แข็งแกร่งและปรับเปลี่ยนได้ภายในกลยุทธ์ด้านความปลอดภัยขององค์กร แผนดังกล่าวไม่เพียงช่วยให้ธุรกิจตอบสนองต่อวิกฤตได้อย่างรวดเร็วและเชิงรุกเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ธุรกิจสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่องในระยะยาวเมื่อเผชิญกับความท้าทายที่คาดเดาไม่ได้และไม่คาดคิดอีกด้วย
ด้วยกลยุทธ์การใช้งานที่ถูกต้อง แผนการตอบสนองทางไซเบอร์ของธุรกิจสามารถปรับขนาดได้ตามข้อกำหนดและระดับความปลอดภัยที่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา
ความสำคัญของแผนการรับมือเหตุการณ์ที่ปรับขนาดได้
แผนการรับมือเหตุการณ์ที่ปรับเปลี่ยนได้นั้น ถือเป็นแผนงานสำคัญที่องค์กรต่างๆ ควรปฏิบัติตามเมื่อเผชิญกับวิกฤตการณ์ เช่น การแฮ็กข้อมูลทางไซเบอร์, การละเมิดข้อมูล หรือเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกัน
สภาพแวดล้อมทางธุรกิจแบบไดนามิกและ 'เปิดตลอดเวลา' (Always-on) ที่อยู่รอบตัวเรา ต้องมีแผนที่มีความคงที่น้อยลงและปรับขนาดได้มากขึ้น ดังนั้น การพัฒนากลยุทธ์การตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่ปรับเปลี่ยนได้เมื่อจำเป็น และปรับให้เข้ากับความต้องการทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลง, ภัยคุกคามและช่องโหว่ใหม่ๆ และการเปลี่ยนแปลงพลวัตของห่วงโซ่อุปทานจึงกลายมาเป็นสิ่งจำเป็น
การทำให้แผนการรับมือเหตุการณ์ (IR) ที่ปรับขนาดได้นั้น มีประโยชน์สำคัญหลายประการสำหรับองค์กรต่างๆ
สามารถรองรับเหตุการณ์ประเภทต่างๆ ที่มีขนาดแตกต่างกัน ซึ่งหมายความว่ากลยุทธ์การตอบสนองต่อเหตุการณ์สามารถครอบคลุมการหยุดชะงักของบริการเล็กน้อย ไปจนถึงการดำเนินการกู้คืนภัยพิบัติเต็มรูปแบบได้
แผนที่มีโครงสร้างที่ดี จะช่วยให้กระบวนการต่างๆ เช่น การควบคุม และแยกภัยคุกคามสามารถปรับปรุง และทำให้เป็นอัตโนมัติได้ ลดความเสี่ยงจากความเหนื่อยล้า จากการแจ้งเตือนและข้อผิดพลาดของมนุษย์ให้เหลือน้อยที่สุด ในขณะเดียวกันก็ช่วยให้ตอบสนองได้เร็วขึ้นและเด็ดขาดมากขึ้น
แผนดังกล่าวสามารถปรับเปลี่ยนได้ง่าย เพื่อรวมเทคโนโลยีและการบูรณาการใหม่ๆ เข้าด้วยกัน รวมถึงตอบสนองความต้องการของธุรกิจหรือลูกค้าใหม่
แผนที่ปรับขนาดได้ช่วยให้มั่นใจ ได้ว่ามีแนวทางที่สอดคล้องและสม่ำเสมอในการจัดการเหตุการณ์ในแผนกต่างๆ ขององค์กร ฟังก์ชันต่างๆ และสถานที่ต่างๆ
องค์ประกอบหลักของแผนการตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่ปรับขนาดได้
การประสานงานการตอบสนองต่อเหตุการณ์มีความสำคัญต่อการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด และเพิ่มความปลอดภัยโดยรวมขององค์กร เนื่องจากปริมาณเหตุการณ์ด้านความปลอดภัยเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และช่องว่างด้านทักษะด้านไซเบอร์ยังคงกว้างขึ้น การตอบสนองเหตุการณ์แบบอัตโนมัติที่ปรับขนาดได้จึงกลายเป็นที่ต้องการมากขึ้น
การสร้างแผนการตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่มีประสิทธิภาพ และปรับเปลี่ยนได้อย่างชัดเจนนั้น องค์กรต่างๆ ต้องพิจารณาองค์ประกอบสำคัญต่อไปนี้
1) บทบาทและความรับผิดชอบที่ชัดเจน
กำหนดบทบาทเฉพาะภายในทีมรับมือเหตุการณ์ และความปลอดภัยที่รับผิดชอบ โดยระบุความรับผิดชอบที่ชัดเจน ของบทบาทเหล่านี้ ซึ่งควรรวมถึงบทบาทที่เกี่ยวข้องกับหัวหน้าฝ่ายเทคนิค, การประสานงานการสื่อสาร, ตัวแทนด้านกฎหมาย และทรัพยากรบุคคล และอื่นๆ ขึ้นอยู่กับขนาดและขอบเขตของหน้าที่ ทำให้แน่ใจว่าบทบาทที่ได้รับมอบหมายแต่ละบทบาท มีผู้ได้รับมอบหมายหลักและรองหนึ่งคน พร้อมด้วยระบบที่เหมาะสม เพื่อรักษาความต่อเนื่องในกรณีที่ขาดงานหรือลาออก
2) ระบบการจำแนกตามระดับชั้น
การจำแนกเหตุการณ์ตามผลกระทบและความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นนั้นมีความสำคัญ ระบบการจำแนกตามระดับชั้นบางรูปแบบที่ส่งสัญญาณการจัดสรรทรัพยากรและขั้นตอนการเพิ่มระดับที่เหมาะสม จะช่วยให้องค์กรพัฒนาวิธีการตอบสนองที่เพียงพอ โดยขึ้นอยู่กับระดับความร้ายแรงของเหตุการณ์นั้นๆ ตั้งแต่เหตุการณ์เล็กน้อยที่มีผลกระทบน้อยที่สุด ไปจนถึงการละเมิดร้ายแรงที่คุกคามการหยุดชะงักของการดำเนินงาน สามารถกำหนดระดับได้ตามความเหมาะสม
3) โปรโตคอลการสื่อสารที่เข้มงวด
ในช่วงเวลาที่เกิดวิกฤต ช่องทางการสื่อสารและโปรโตคอลที่ชัดเจนสำหรับแต่ละขั้นตอนของเหตุการณ์มีความสำคัญอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารภายใน, ช่องทางการยกระดับไปยังผู้บริหารระดับสูง หรือการประสานงานภายนอกกับลูกค้า, ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และสื่อ ความชัดเจนถือเป็นสิ่งสำคัญ, การประชุมระดับ 10 (ขอให้ผู้คนให้คะแนนการประชุมในระดับ 1 ถึง 10 ในตอนท้ายของการประชุมแต่ละครั้ง) เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการสื่อสารวาระการประชุมที่เข้มงวดไปยังแผนกภายใน, สมาชิกในทีม, และบุคคลภายนอก ในขณะเดียวกัน เทมเพลตสำหรับการสื่อสารประเภทต่างๆ สามารถรับรองความสม่ำเสมอและประหยัดเวลาในช่วงวิกฤตได้
4) แนวทางการตอบสนองต่อเหตุการณ์
คู่มือและแผนการทีละขั้นตอนโดยละเอียด จะมีประโยชน์เมื่อพยายามนำทางสถานการณ์เหตุการณ์ต่างๆ คู่มือและแผนการเหล่านี้ต้องเน้นที่การดำเนินการ โดยมีคำแนะนำที่ชัดเจน, เข้าถึงได้ง่ายสำหรับสมาชิกในทีมทุกคน, และอัปเดตอย่างต่อเนื่องตามช่องโหว่ที่เปลี่ยนแปลงไป และบทเรียนที่ได้เรียนรู้, เสริมสร้างแนวทางของเราทีละน้อย เมื่อความพร้อมด้านไซเบอร์ของเราดีขึ้น โดยผสานรวมกระบวนการทั้งแบบอัตโนมัติและด้วยตนเอง
5) การบูรณาการเชิงกลยุทธ์
ระบุและบูรณาการเครื่องมือที่เหมาะสม, เกี่ยวข้อง และเป็นประโยชน์ที่สุด เพื่อสนับสนุนแผนการตอบสนอง (IR) ซึ่งอาจรวมถึง
การตรวจสอบภัยคุกคามแบบเรียลไทม์
การแจ้งเตือนที่ปรับแต่งได้
การติดตามและจัดการเหตุการณ์
ช่องทางการทำงานร่วมกันที่ปลอดภัย
เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูล
ซอฟต์แวร์นิติวิทยาศาสตร์ดิจิทัล
ขึ้นอยู่กับขนาดของกำลังคนของเรา, การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่ ด้วยเครื่องมือดังกล่าว สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นเครื่องมือสำคัญในการทำให้บุคลากรทุกคนมีส่วนร่วมในการพัฒนา, ปรับปรุงเวลาตอบสนอง, และลดความเสี่ยงของข้อผิดพลาดของมนุษย์
6) การฝึกอบรมและการฝึกซ้อมจำลองสถานการณ์
พัฒนาโปรแกรมการฝึกอบรมที่เข้มงวดและครอบคลุมเพื่อทดสอบเวลาตอบสนอง, กระบวนการ, และประสิทธิภาพทีมของเรา ดำเนินการฝึกซ้อมจำลองสถานการณ์เป็นประจำ, ตั้งแต่การฝึกซ้อมบนโต๊ะ (tabletop) ไปจนถึงการจำลองสถานการณ์เต็มรูปแบบทั่วทั้งองค์กร (full-scale), เพื่อระบุโอกาสในการปรับปรุงในขณะที่สนับสนุนการทดสอบที่ประสบความสำเร็จ อย่าลืมให้ความชัดเจนและความโปร่งใสในระหว่างการสรุปผลหลังการฝึกซ้อมเพื่อระบุจุดอ่อน
การทำให้แผนการตอบสนองต่อเหตุการณ์ของเรามีความยืดหยุ่นมากขึ้น
การทำให้แผนการตอบสนองต่อเหตุการณ์ของเรามีความยืดหยุ่นมากขึ้นนั้น ต้องคำนึงถึงองค์ประกอบเพิ่มเติมด้วย เมื่อสร้างแผน สิ่งสำคัญอันดับแรก คือ ต้องแน่ใจว่าแผนนั้นบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ข้างต้น
อย่างไรก็ตาม เมื่อสร้างแผนที่มีความยืดหยุ่นได้อย่างแท้จริงควบคู่ไปกับองค์กรของเราให้พิจารณาใช้กลยุทธ์ต่อไปนี้
1) การออกแบบแบบแยกส่วน (Modular design)
ส่วนประกอบที่สามารถเพิ่ม, ลบ, หรือปรับเปลี่ยนได้ง่ายนั้น สามารถทำให้แผนการตอบสนองต่อเหตุการณ์เฉพาะของเราปรับแต่งได้มากขึ้น และเหมาะสมกับจุดประสงค์ ส่วนประกอบแบบแยกส่วนในซอฟต์แวร์, เครื่องมือ, การบูรณาการ, และการจำแนกประเภทใดๆ สามารถช่วยให้เราสร้างแผนที่เฉพาะสำหรับองค์กรของเราได้อย่างชัดเจน
2) การทำงานอัตโนมัติ (Automation)
เมื่อเวลาผ่านไป เมื่อพนักงานและความรับผิดชอบของเราเปลี่ยนแปลงไป, การนำการทำงานอัตโนมัติที่เหมาะสมสำหรับงานซ้ำๆ และการประสานงานสำหรับเวิร์กโฟลว์ที่ซับซ้อนมาใช้ สามารถปรับปรุงความสม่ำเสมอและประสิทธิภาพทั่วทั้งฟังก์ชันของคุณได้
3) คลาวด์ (Cloud)
นำโครงสร้างพื้นฐานและแพลตฟอร์มบนคลาวด์มาใช้ ซึ่งสามารถปรับขนาดได้อย่างง่ายดาย ตามการเติบโตขององค์กรของเรา สำหรับองค์กรข้ามชาติ, สภาพแวดล้อมบนคลาวด์สามารถคำนึงถึงพื้นที่ระดับภูมิภาค หรือระดับประเทศที่แตกต่างกัน และสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามต้องการ
4) การบูรณาการผู้จำหน่ายและพันธมิตร (Vendor and partner integration)
พัฒนากระบวนการสำหรับการบูรณาการสถาปัตยกรรม และความพยายามตอบสนองต่อเหตุการณ์ของเรากับผู้จำหน่าย, พันธมิตร, และซัพพลายเออร์รายสำคัญ ซึ่งจะปรับปรุงความยืดหยุ่นของห่วงโซ่อุปทานโดยรวม ในเดียวกันก็เสริมสร้างสุขอนามัยทางไซเบอร์ในทุกจุดสัมผัส
แผนการตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่มีประสิทธิผล มีเอกสารประกอบ, และปรับเปลี่ยนได้ ถือเป็นแกนหลักสู่แผนการเติบโตขององค์กรที่ประสบความสำเร็จ การเน้นที่ความยืดหยุ่น, ประสิทธิภาพ, และการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้องค์กรต่างๆ สามารถสร้างกรอบงานที่มั่นคงและเชื่อถือได้ ซึ่งพัฒนาไปพร้อมกับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไป และภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่ผันผวนและคาดเดาไม่ได้มากขึ้น
เนื่องจากภัยคุกคามแพร่กระจาย และธุรกิจต่างๆ เริ่มนำระบบดิจิทัลมาใช้มากขึ้น ความสำคัญของความสามารถในการปรับขนาดในการตอบสนองต่อเหตุการณ์จึงเป็นสิ่งที่ไม่สามารถมองข้ามได้ ลงทุนในการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ครั้งนี้เพื่อเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานของเราและปกป้องมัน, รวมถึงข้อมูล, สินทรัพย์, และความไว้วางใจของผู้บริโภคของเราในอนาคต
การนำระบบบริหารต่าง ๆ ขององค์กรมาประยุกต์ ช่วยให้สามารถบริหารสถานการณ์ฉุกเฉินได้ และสามารถตอบสนองภาวะการหยุดชะงักทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอกองค์กร และยังคงสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง การนำระบบบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ (ISO22301 Business Continuity Management System) และระบบบริหารความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ (ISO/IEC27001:2022 Information Security Management System) มาประยุกต์ใช้ เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ช่วยให้องค์กร เสริมสร้างความมุ่งมั่น ก้าวสู่การเป็นองค์กรที่มีความพร้อมในทุกสภาวะวิกฤติ, สร้างเสถียรภาพในการให้ผลิต/ให้บริการ, และเพิ่มสมรรถนะในการแข่งขันขององค์กร สร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า, ผู้บริหารและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่าง ๆ
สนใจฝึกอบรมจัดทำระบบ ติดต่อเรา ยินดีให้คำปรึกษากับทุกองค์กร
ติดต่อที่ปรึกษาจัดทำระบบ ISO22301, ISO27001, BCP หรืออื่น ๆ โทร. 084-1147666
#BCMS, #BusinessContinuity, #ISO22301, #BCM, #BCP, #ISMS, #ISO27001